เปิดใจประมุข 2 ศาล

หนังสือพิมพ์สยามรัฐ วันพุธที่ 2 มกราคม 2545

(ตัดเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ)

ที่มาของศาลรัฐธรรมนูญ

ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และเป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นตามแนวทางของประเทศที่มีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเป็นกฎหมายสูงสุด ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญในประเทศที่ใช้ลายลักษณ์อักษร เป็นการตราขึ้นในรูปประมวลกฎหมายตามกฤษฎีกา เรียกรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร และถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งกฎหมายธรรมดาไม่สามารถขัดแย้งได้ และโดยทั่วไปรัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ จะกำหนดหลักการที่เป็นกรอบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศนั้น ๆ และจะมีบทบัญญัติสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคล นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ขององค์กรทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร

สำหรับกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยมีขึ้นในปี 2540 ซึ่งได้นำหลักการทางกฎหมาย 2 แนวทางตามกฎหมายของฝรั่งเศสและของเยอรมนีมาใช้ และมีการตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นในปี 2541 ซึ่งการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญเราได้ใช้หลักการเคารพสิทธิของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกท่าน หรือการแสดงความคิดเห็นเราได้มีวิธีปฏิบัติร่วมกันว่า เมื่อมีเรื่องเข้ามาที่ศาลรัฐธรรมนูญ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญจะจัดระเบียบวาระการประชุมว่ามีเรื่องใดเสนอเข้ามาบ้าง เช่น เรื่องที่ ป.ป.ช. เสนอให้พิจารณาคดีการซุกหุ้นของนายกรัฐมนตรี ทางศาลก็ต้องดูว่าจะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่

การทำงานของคณะตุลาการ

เรากำหนดเป็นหลักการว่าในกรณีเรื่องที่เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เป็นเรื่องที่องค์กรต่างๆ เสนอมา เราจะรับเข้าสารบบก่อน แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ใช่องค์กรตามรัฐธรรมนูญเสนอมา เราจะพิจารณาก่อนยังไม่นำเข้าสารบบ แต่จะดูว่าอยู่ในอำนาจของศาลหรือไม่ เมื่อนำเข้าสู่สารบบแล้ว ทีมงานจะไปวิเคราะห์เบื้องต้นและเสนอตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละท่าน และจะพิจารณาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร กฎหมายเป็นอย่างไร และอยู่ในข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตราใด จากนั้นประธานศาลรัฐธรรมนูญจะนัดประชุมในวาระว่าจะรับพิจารณาหรือไม่ ซึ่งก็จะมีการอภิปรายแสดงความคิดเห็นกัน และถ้ารับพิจารณาแล้วฝ่ายวิเคราะห์จะไปวิเคราะห์ว่าปัญหาที่ขอให้วินิจฉัยนั้นมีน้ำหนักหรือไม่ โดยตุลาการแต่ละคนจะนำเรื่องไปศึกษา จากนั้นประธานก็จะเรียกคำวินิจฉัยมาพิจารณา สำหรับการพิจารณาคดีซุกหุ้นของนายกรัฐมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกท่านไม่ได้หวั่นไหวตามแรงกดดันภายนอก ทุกคนเคารพความคิดเห็นของกันและกันและของผู้อื่นด้วย

การที่ประเทศไทยมีศาลรัฐธรรมนูญ ได้ช่วยทำให้การเมืองของประเทศพัฒนาขึ้นหรือไม่

ถือว่ายังคงใช้เวลาในระยะสั้นเกินไปที่จะวิเคราะห์ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ประชาชนรู้ว่ายังมีองค์กรศาลรัฐธรรมนูญอยู่อีกหนึ่งองค์กร ที่จะช่วยดูแลให้กลไกของการปกครองตามรัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างปกติ กลไกรัฐสภา รัฐบาล และศาลยุติธรรมและองค์กรอื่น ๆ ซึ่งการที่ศาลรัฐธรรมนูญจะช่วยประเทศให้พัฒนามากขึ้นกว่านี้จะต้องใช้เวลาเพราะประชาชนส่วนใหญ่ที่อยู่ในชนบท ก็ยังไม่เข้าใจระบบศาลรัฐธรรมนูญดีพอ ซึ่งคงต้องเรียนรู้จากภาคปฏิบัติ

การทำหน้าที่ตัดสินคดีของศาลรัฐธรรมนูญ มีคดีใดบ้างที่ส่งผลชัดเจนและเป็นที่สนใจของประชาชน

กรณีของพล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรมว.มหาดไทยและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในการจงใจปกปิดการแสดงบัญชีทรัพย์สิน ก็สร้างกระแสให้นักการเมืองให้ความสำคัญในการทำตัวให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และที่ทำให้เป็นที่สนใจมากคือศารัฐธรรมนูญสามารถที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปได้ด้วยดียิ่งขึ้น เช่น เรื่องการเลือกตั้งของสมาชิกวุฒิสภา การที่ก.ก.ต.แจกใบเหลือ ใบแดง และทางผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาก็เห็นด้วยรับเรื่องและส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือแม้แต่กรณีที่จะให้ส.ส. มาเป็นรัฐมนตรีจะต้องลาออกจากการเป็นส.ส. แล้วส.ส.ในเขตพื้นที่จะต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการเลือกตั้งซ่อม นี่ก็เป็นประเด็นที่ศาลปกครองต้องวินิจฉัย หรือแม้แต่การออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปฏิรูประบบสถาบันการเงินซึ่งออกในรัฐบาลพล.อ.ชวลิต  ยงใจยุทธ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านก็ส่งเรื่องให้ศารัฐธรรมนูญวินิจฉัย

อย่างไรก็ตาม การมีศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นองค์กรที่จะดูแลให้กฎหมายรัฐธรรมนูญมีความศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้น ในวารดิถีขึ้นปีใหม่ 2545 นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดเพื่อให้รัฐธรรมนูญมีความศักดิ์สิทธิ์และองค์กรใดๆ จะละเมิดไม่ได้ รวมถึง เพื่อให้เป็นไปตามหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องการรับรองสิทธิเสรีภาพของบุคคลโดยรัฐธรรมนูญจะต้องให้องค์กรทั้งหลายเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ